ชี วิ ต กั บ ค ว า ม รั กท่านเขมานันทะ (อาจารย์โกวิท เอนกชัย)ท่านรองอธิการบดี ท่านคณาจารย์ และนักศึกษาผู้ที่สนใจในหัวข้อของธรรมบรรยายทั้งหลายหัวข้อบรรยายในวันนี้ คงทำความแปลกใจให้แก่ท่านผู้ฟังบ้างไม่มากก็น้อย ถ้าว่าหัวข้อนี้บรรยายโดยผู้ที่เป็นฆราวาส ก็คงจะไม่น่าแปลกประหลาดอะไร แต่ถ้าผู้บรรยายเป็นบรรพชิตหัวข้อ "ชีวิตกับความรัก" ก็คงจะเป็นเรื่องแปลกๆ อยู่ ข้อนี้ขอทำความเข้าใจกับท่านผู้ฟังสักเล็กน้อยก่อนว่า สิ่งที่เรียกว่า ความรัก นั้น มักไปปะปนกับสิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์ เพราะไปหลงเข้าใจว่าความรักกับกามารมณ์เป็นเรื่องเดียวกัน ซึ่งที่จริงเรื่องทางเพศนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญอยู่เหมือนกันในชีวิตของมนุษย์ ในที่นี้ขอนำท่านมาสู่เรื่องความรักที่เหนือหรืออิสระจากกามารมณ์ ซึ่งดูเหมือนว่าไม่ค่อนมีใครเชื่อเสียแล้วในโลกปัจจุบัน เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงทำความแปลกใจให้ท่านบ้างเล็กน้อยในหัวข้อนี้ที่ถูกพูดโดยบรรพชิต แต่ถ้าท่านทั้งหลายทราบว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่แล้ว บางทีท่านจะรู้โดยตนเองว่า ผู้ที่เป็นบรรพชิตนั่นแหละ คือผู้ที่กำลังแสวงหาความรักที่แท้จริงขอให้ตั้งต้นที่ชีวิตในปัจจุบันของมนุษย์เรา ในสังคมที่กำลังสับสน เราจะพบความจริงในชีวิตว่า เรากำลังว้าเหว่ และบรรดาสัตว์โลกทั้งหลาย ไม่มีสัตว์โลกใดว้าเหว่เท่ามนุษย์ จริงอยู่เราเห็นความรื่นเริงในหมู่มนุษย์ การร้องรำทำเพลง เต้นรำ หัวร่อสนุกสนาน แต่มีความว้าเหว่อย่างลึกซึ้งและมนุษย์กำลังรอคอยอะไรสักอย่างหนึ่งที่จะมาเติมเต็มตัวเองให้เต็ม เพราะมนุษย์ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองนั้นยังพร่อง และกำลังรอคอย สำหรับบางคนอาจจะรอความร่ำรวย หรือรอเงิน หรือรอเกียรติยศ แต่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกคนต้องการสรณะหรือที่พึ่ง ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นชาย หรือเป็นหญิง ทุกคนยังรู้สึกว่าตนเองพร่องหรือรอคอยความว้าเหว่ท่ามกลางการรอคอยนั่นแหละเกาะกินใจมนุษย์อยู่ แต่มนุษย์ฉลาดพอที่จะกลบเกลื่อนความว้าเหว่นี้ไว้ด้วยท่าทีอื่น
แต่แม้กระนั้นก็ดี ทุกคนจะต้องได้ยินเสียงกระซิบภายในตัวเองว่า เรากำลังคอยสิ่งที่จะมาเติมเต็ม และแท้จริง สิ่งที่รอคอยนั่นแหละคือความรัก เรากำลังต้องการความรักเพื่อเติมชีวิตที่พร่องนี้ให้เต็ม และการรอคอยโหยหาที่จะเติมให้เต็มนั่นแหละ คือการแสวงหาความรักหรือที่พึ่งแต่สิ่งที่เรียกว่าความรัก แม้ว่าจะเข้าใจที่พึ่งนั้นในระดับไหนก็ตามแต่สิ่งที่เรียกว่าความรัก จะกลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด การรอคอยของมนุษย์เพื่อจะให้ถึงวันเต็มเปี่ยมนั้นเอง ได้ส่งผลเป็นความโศกเศร้าซึมในขณะที่รอ หรือไม่ก็ให้เต็มไปด้วยความหวัง และความหวังซึ่งจะมาถึงพร้อมกับรสหวานของชีวิต เรารู้สึกว่า เราต้องการใครสักคนหนึ่งมาช่วยปลอบประโลมในขณะที่เราเศร้าโศก หรือมาช่วยรื่นเริงเมื่อเราประสบโชค เราต้องการจะร่วมกันบันเทิงกับเพื่อนมนุษย์หรือใครคนหนึ่งที่เข้าใจเรามากที่สุด แต่เรามักจะไม่ค่อยคิดว่าเมื่อคนนั้นเข้าใจเราแล้ว เราพยายามเข้าใจเขาให้มากที่สุดด้วย ด้วยเหตุนี้ การแสวงหาความรักจึงเป็นปมที่สำคัญมาก โดยเหตุที่ว่า เรากำลังแสวงหาคนอื่นมาสนับสนุนตัว และเพื่อจะได้รักเขา ซึ่งเป็นเพียงผลตอบ หลังจากที่เขารักเรา เมื่อเป็นเช่นนั้นการแสวงหาความรักหรือสรณะเช่นนั้นเป็นการลงทุน มันมีข้อแม้ว่า ถ้าเธอไม่รักฉัน ฉันก็ไม่รักเธอ ข้อนี้เราจะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นความรักที่แท้จริงไม่ได้ เราต้องการใครสักคนหนึ่งมางอนง้อเรา เราอาจจะเรียกมันว่า นี้เป็นท่าทีหรือลีลาของความรัก ที่จริงนั้นไม่ใช่ ความรักจะต้องไม่หมายถึงการพร่องอยู่ข้างใน แล้วเพื่อจะหาตัวบุคคลอื่นมาเติมให้เต็ม ความรักจะต้องหมายถึงความเต็มเปี่ยมและล้นออกไปสู่ผู้อื่นเพราะฉะนั้นเองความรักจะต้องหมายถึง "การให้" ไม่ได้หมายถึงการเรียกร้องเลย ถ้าว่าเป็นการเรียกร้อง นั่นมิใช่ความรัก แต่เป็นการขาดความรักอย่างรุ่นแรง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น